31 ตุลาคม 2553

week2-3 เรียนไป บ่นไป


ความสุขตืนเต้นกับการมาเจอสิ่งใหม่ๆ  เพื่อนใหม่ๆ  มันอยู่ได้ไม่นานค่ะ 
ช่วงหลั่ลล๊าของชีวิตเริ่มจางหายไป ………………………………………….


ตอนนี้เริ่มมีมรสุมเมฆดำทะมึนๆเข้ามา
เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปเรียนหนังสือจริงๆซะแล้ว

ไม่มีใครเตือนเราเลย........ว่าเรียนป.โทเมืองนอก “มันยากส์”
โถ่เอ๋ย ตอนแรกก็กะจะมาเรียนแบบชิวๆ สิวๆ เรียนไป make friendไป เที่ยวไป




ที่ไหนได้ ..........
มันหนักหนากว่าที่เราคิดไว้หลายเท่าตัวทีเดียวเลย ฮือ ฮือ (มันต้อแต้)
อาจารย์แต่ละรายวิชา เค้าก็หวังว่า นักศึกษาทั้งหลายต้องเตรียมตัวกับบทเรียนที่เค้าให้guidelineไป
ว่าคุณต้องอ่านตรงไหน เล่มนั้นเล่มนี้ เวบไซต์นั้นนี้
คือตัวเราไม่เก่งในการอ่านมากๆแบบนี้ แล้วภาษาเราก็ใช่ว่าจะแข็งแรง
อ่านทีก็ต้องใช้เวลาอ่านมากกว่าคนอื่นหลายเท่า

เคยมีอาจารย์เชิญเราออกจากห้องมาแล้วด้วย
อาจารย์เค้าบอกว่า ผมไม่อยากจะต้องเสียเวลากับพวกที่ไม่เตรียมตัวมา
ใครไม่อ่านมาก่อน ขอให้ออกไป ไป ไป ไป ไป
(คืออาจารย์เค้าพูดคำว่า”ไป” แค่ทีเดียวแหละ ที่เหลือมันเป็นเสียงสะท้อนในหัวเราเอง)
เหอ เหอ


มีวิชานึงหินที่สุด นั่นก็คือ.......
International Trade Lawค่ะ ยากขั้นเทพ
แล้วต้องเรียนรวมกับพวกนักศึกษา lawด้วยไง
เหมือนในหนังเรื่องLegally Blond เลยขอบอก


คือนักศึกษาLawทุกคนเค้าจะมีcomputer notebook เป็นของตัวเอง
เค้าจดlectureกันในcomเลย หันไปทางไหนๆก็พิมพ์กันก็อกแก็กๆ
แล้วขอโทษ แต่ละคนเซียนๆเก่งๆ
Class participate นี่ โห....สุดยอด
มีแต่ยกมือแย่งกับตอบกันตอบ  ถกเถีบง  หารือ 
ส่วนเราเหลือค่ะ นั่งงงๆบื้อๆ ฆ่าเวลาเล่นค่ะ



ไม่ค่ะ  นี่ยังไม่โหดร้ายพอ  มีโหดกว่านี้อีก!!!!!!

ทุกวิชาที่เรียนจะประกอบด้วยสองส่วนคือ Lecture และ Tutorial


Lecture คือ  คลาสที่สอนบรรยายในเนื้อหาวิชา
Tutorial คือ  คลาสที่ให้นักศึกษาทำworkshop case study และอื่นๆ

วิชาInter trade law ภาคTutorial อาจารย์จะให้นักศึกษาเขียนชื่อวางไว้ที่โต๊ะ
แล้วอาจารย์ก็เรียกขึ้นตอบคำถาม  โอ้  แม้เจ้า
วันที่เรียนTutorialคลาสแรก  อาจารย์เค้าตาถึงค่ะ  เค้าเรียกเราตอบคำถาม
เรียกสามรอบ  เรายังม่ายรู้เลยว่าเรียกเรา
จนเพื่อนข้างๆสะกิด  ยูๆๆ  จารย์เรียกยู(แค่ชื่อหนู  หนูยังฟังไม่ออกเลย)
ใช่ค่ะ .......ทุกคนเดาถูก  เราฟังคำถามอาจารย์ไม่ออกเลย


ไม่มีวิชาไหนเลยค่ะ ที่แอนจะฟังอาจารย์พูดรู้เรื่อง
ถึงจะพยายามอ่านล่วงหน้ามาแล้ว
อาจารย์เค้าจะไม่สอนเหมือนในหนังสือเดะๆไง(ไม่เหมือนที่บ้านเราหรอก)
เค้าก็ยกตัวอย่างไปเรื่อย ถามความคิดเห็นนักเรียนไปเรื่อย


แต่ตอนนี้ ได้เพื่อนคนไทยที่เค้าเรียนมาแล้วหนึ่งเทอมคอยช่วยเหลือ(บ้าง)
ก็พอทุเลาลง เค้าบอกว่าเทอมนี้เรียนหนักมาก ถ้ามาตั้งแต่เทอมที่แล้ว คงมีเวลาได้ปรับตัวบ้าง

ยังไงก็จะพยายามไม่ให้ตก เพราะว่าถ้าตกต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกมาก

ก็ต้องกัดฟันสู้ต่อไป เอาตัวให้รอดให้ได้(ก็จ่ายตังค์มาแล้วหนิ)
จะพยายามอ่านหนังสือให้ได้ทุกวัน ไม่งั้นไม่ทันแน่ๆ




บล็อกอันนี้คงอ่านไม่เพลิน เพราะมีแต่บ่น บ่น บ่น ^-^
(ก็อยากให้มันสอดคล้องกับชื่อบล็อกอ่ะ ไม่ผิดใช่ไหม.....เอิ๊กส์ เอิ๊กส์)



ปล.อีกทีว่า เรายังคงสนุกกับการพบเจอสิ่งใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ อยู่น๊าาาาา
ไม่ได้เศร้า เหงา รึเครียดอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วง

ยังไง ก็ยังรักhobart เหมือนเดิม

28 ตุลาคม 2553

ฝันเป็นจริง ได้ไปเรียนเมืองนอกแล้ว


และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะบ๊าย บาย เมืองไทย ไปเล่นกับจิงโจ้ซักที
วันนี้เป็นวันที่เราและพ่อแม่น้าอาดีใจและภูมิใจกันยกใหญ่
ที่เราทำฝันของเราได้สำเร็จซักที(เค้ารอมาหลายปีแล้ว  เห็นเรียนภาษาอยู่ได้) 
มันเป็นรางวัลจากการขยันและเก็บหอมรอมริบ ของเราตลอด6ปีการทำงาน 
(นานเนอะ  นานจนแก่เลยหล่ะนี่) 



พ่อแม่  อาๆ ญาติๆ  เพื่อนๆมาส่งกันเต็มสนามบิน  ห้า ห้า ห้า
ทุกอย่างดูดี   เต็มไปด้วยรอยยิ้ม^^

 


การเดินทางอันยาวนาน  ทำให้เราเหน็ดเหนื่อย 
พอไปถึงที่สนามบินโฮบาร์ท ก็มีเจ้าหน้าที่ของมหาลัยมารอรับ  เยี่ยมจริงๆ
แต่ต้องตกใจเมื่อพบว่ากระเป๋าเดินทางที่โหลดลงเครื่องไม่ยอมเดินทางมากับเรา
เรามาโฮบาร์ทกับกระเป๋าใบเล็ก1ใบ ข้างในมีเสื้อ2—3ตัว
ผ้าขนหนู ไดรเป่าผม แล้วก็หนังสือ แล้วก็เป้ใส่โน๊ตบุ๊คอีก1ใบ

รู้สึกกังวลมากว่าที่บ้านเรา คงคอยรับโทรศัพท์จากเรามาหลายชั่วโมงแล้ว
ที่บ้านคงกังวลตั้งแต่เราเดินเข้าไปตรงประตูตรวจคนออกนอกประเทศที่สุวรรณภูมิ
กลัวว่าแถวมันจะยาว แล้วเราจะไปไม่ทันboarding
กลัวว่าเรานั่งเครื่องบินแล้วจะเมาเครื่องแล้วเดินเองไม่ไหว
กลัวว่าเราจะต่อเครื่องตรงซิดนีย์มาโฮบาร์ทไม่ได้
กลัวว่าเราจะถึงโฮบาร์ทโดยสวัสดิภาพรึเปล่า

เรานะโมโหตัวเองที่ไม่ยอมเอาซิมมาจากเมืองไทย
วันนั้นแค่คิดว่า เดี๋ยวก็มาซื้อซิมเอาที่นี่ได้ ไม่ยากหรอก
แต่การเดินทางมันค่อนข้างนาน เราปล่อยให้ที่บ้านกังวลเรื่องเรานานเกินไป
แล้วเราก็รู้สึกผิดมากมากที่ต้องให้พ่อแม่และญาติๆ คนที่เรารักต้องมาไม่สบายใจ
กับอีแค่ไม่ยอมถือซิมมา!!!

พอมาเจอกระเป๋าหายอีก มันรู้สึกเฮ้ย อะไรกัน
เรานะถามเจ้าหน้าที่ที่สุวรรณภูมิตั้งหลายรอบ ถามเจ้าหน้าที่ที่sydney
ว่ากระเป๋าเรา มากับเราใช่ไหม ถาม ถาม ถาม
แล้วไงอ่ะ เชื่อคุณไม่ได้เลยนะ เป๋าชั้นยังนอนหมุนเล่นอยู่ที่sydneyอยู่เลย
แล้วเราจะได้มันคืนมั๊ยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างเราอยู่ในนั้นนะ


เหนื่อย เพลีย เมาเครื่องนิดหน่อย กังวล สับสน โทรกลับบ้านไม่ได้ 
เพราะหาที่ซื้อโฟนการ์ดไม่เจอ หาซื้อซิมไม่ได้  
ทุกอย่างช่างเศร้า เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
เราอยู่รายล้อมด้วยพ่อแม่ ญาติๆ เพื่อนๆ มีแต่รอยยิ้ม และความสุข 
ทุกคนมาส่งเรา ทุกคนหวังดีกับเรา ยินดีกับเราริง
แต่ตอนนี้.................
เราอยู่คนเดียว กับความเสียใจว่าทำไมเราทำตัวแบบนี้
เสียใจ เสียใจ เสียใจ..........



และแล้ว.....ทนไม่ไหวแล้ว โฮ โฮ โฮ โฮ 
ก้มหน้าลงร้องไห้ที่ตรงถนน ตอนกำลังเดินไปแลกเหรียญเพื่อจะโทรศัพท์กลับบ้าน 
ไม่อายใครด้วย ร้องไห้จนตาบวมฉึ่งเลย


และตอนนั้นเองที่เราได้เจอ Barbara กับ Peter คู่คุณลุง คุณป้าที่ใจดี
เค้าเข้ามากอดเราใหญ่เลย ถามว่าเป็นไร โอเคมั๊ย
เราก็บอกเป๋าหายค๊า โทรหาที่บ้านก็ไม่เป็น
เค้าพาเราไปซื้อการ์ดโฟนโทรกลับเมืองไทย
ใจดีเนอะ กอดเราตั้งหลายที เราก็กอดด้วยแหละ
กอดแล้วคิดถึงแม่เลย ตัวเค้านิ่มแล้วก็อบอุ่นมากเลย ก็เลยกอดซะนานเลย 5555



# ตอนนี้ได้กระเป๋าคืนแล้วแหละ
ได้คืนมาตั้งแต่ตอนวันอังคารหัวค่ำ(ถึงโฮบาร์ทวันอาทิตย์ประมาณเที่ยง)
ทางมหาลัยเค้าดีมากมากเลย เค้าประสานงานไปรับกระเป๋าให้เราที่แอร์พอร์ต
แล้วมาส่งให้ถึงห้องเราเลย (ดีเหมือนกัน ไม่ต้องขนเอง เพราะมันหนัก5555)


คนทาสมาเนียใจดีอีกคนที่เราเจอชื่อTim
วันนั้น เรากับบิ๋มเพื่อนคนไทย ดั้นด้นไปดูบ้านที่เราจะแชร์อยู่ด้วยกัน
ไปแบบมั่วๆ รู้ชื่อถนน แต่ไม่รู้ว่าต้องลงป้ายไหน ก็กะไปถามคนขับรถเอา
ปรากฎว่าคนขับก็ดันไม่รู้จักอีก
แต่คุณTim อัศวินของเรา นั่งอยู่ในรถคันนั้นด้วย เค้าก็เลยเสนอตัวพาไป
พาไปถึงบ้าน ก็รอพวกเราดูบ้านตั้งนานนะ แล้วยังพาไปส่งทางไปป้ายรถเมล์อีก
แล้วเค้าค่อยกลับบ้านเค้าอ่ะ น่ารักเนอะ
-----------------------------------------------------------------------------------



เรารู้จักเพื่อนที่มหาลัยเยอะแล้วเหมือนกัน เพราะว่าอยู่หอพักมหาลัย
เป็นคล้ายๆบ้านที่หลังใหญ่มากๆ มี1ห้องครัว 1ห้องนั่งเล่น 1ห้องดูทีวี
แต่หลายห้องนอน ไม่รู้ว่าเทาไหร่ แต่มากกว่า30ห้องนอน
ทุกห้องมีห้องน้ำส่วนตัว ฮีทเตอร์ส่วนตัว แล้วก็ตู้เย็นส่วนตัว ดีจริงๆ อยู่ที่นี่นะ
ได้เพื่อนรายวันเลย เพราะว่าคุณต้องกินอาหารในครัวไง
บางวันก็ทำอาหารเอง ทำกันไปคุยกันไป รู้จักเยอะมากกกก สนุกดี
ขอไล่เรียงชื่อประเทศก่อนนะ
มี สเปน เยอรมัน ออสเตรเลีย สวีเดน อินเดีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
บางคนก็ไม่ได้ถามว่ามาจากประเทศอะไร
แต่ถ้าจะให้เข้ากันได้ เมาท์กันยาว คงเป็นพวกเอเชียด้วยกันแหละ
ตอนนี้ มีเพื่อนซี้เยอะเลยแหละ


เพื่อนซี้ประจำครัวเรา คือ สองหนุ่มสาวชาวมาเลชื่อKavinกับMichelle
เพื่อนซี้ร่วมเดินทางไปเรียน คือ สาวจีนชื่อXiali
เพื่อนซี้ยามเย็น คือ บิ๋ม คนไทยแหละคนนี้
เพื่อนซี้ชอบแวะไปหา ชื่อRichardกับภรรยาEmilyชาวจีน
เพื่อนซี้ตอนปฐมนิเทศ Milaชาวมาเลอีกแล้วครับท่าน
เพื่อนซี้ดูทีวี ชื่อDavidชาวออสเตรเลีย



 ปล.ตอนนี้ไม่เศร้าแล้ว กำลังสนุกกับการ make friendอยู่

26 ตุลาคม 2553

เตรียมตัว หาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองTasmania และ มีทติ้งคนไทย

พอเลือกได้แล้ว   ว่าจะเรียนที่นี้หล่ะที่ีทาสมาเนียนี่หล่ะ
เราก็เริมตะลุยหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อ  ว่าควรเตรียมตัวยังไงบ้าง

แล้วจะถามครายยย.......
ไม่มีคนที่รู้จัก  เพื่อนของเพื่อน  ญาติของเพื่อน  หรือใครต่อใครเคยไปเรียนเมืองนี้มาก่อนเลยอ่ะ
อยากได้คำแนะนำจากคนไทยที่เคยไปอยู่  หรือกำลังอยู่ที่เมืองนี้
จะเป็นที่ไหนไปได้  ก็ที่www.pantip.com  ห้องไกลบ้านอะดิ
ทีที่คนเมืองไกล +คนเมืองไทยอยากไปไำกลๆบ้าน  วนเวียนแลกเปลี่ยนความรู้  ระบายความในใจกัน
 

เราก็เลยตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับทาสมาเนีย  ไม่นานหรอกค่ะ  ก็มีคนใจดีๆๆๆมาตอบ ^^
คนคนนั้น  คือ  ด็อกเตอร์ลุงอ้น(ขอพาดพุงนะ) และอีกหลายๆคน เข้ามาอธิบายอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะเลย







การรู้จักคนไทยหน้าใส นิสัยดี ที่เรียนและกำลังไปเรียนที่โฮบาร์ทในห้องไกลบ้านหลายต่อหลายคน  ทำให้เราทุกคนเกิดไอเดียที่จะนัดเจอกันที่เมืองไทยเพื่อจะทำความรู้จักกันก่อน ก่อนที่จะไปเจอกันที่โน่นอีกที   เผื่อไปถึงที่โน่นจะได้ช่วยเหลือกันได้ไง ^-^ อุ่นใจดี



สมาชิกวันนั้น มีกัน5คน(ลุงด็อกเตอร์อ้นไม่ได้มาด้วย) มี1คนที่เรียนอยู่ที่โน่น แล้วก็บินกลับมาเมืองไทย ชื่อน้องต้อง
อีก4คนก็มี มาร์ติน ป้อ บิ๋ม แล้วก็เรา ที่กำลังจะบินไปเรียนกัน


นัดกันตอนเที่ยงตรงของ ที่food center ชั้น4 siam center
ถือว่า โอเคเลย เพราะพวกเราเมาท์กันอย่างยาวนาน และเป็นส่วนตัวสุดๆ

น้องต้อง  วันนั้นต้องมาทำตัวเป็นพี่เลี้ยง  คอยให้ข้อมูล
ที่พัก  ที่ช็อบ  การใช้ชีวิต  เรื่องเล่าเด็กไทยคนอื่นๆ
การเรียน  การเอาตัวรอดเวลาอ่านหนังสือสอบ 
ต้องเยรับจ็อบมาเกือบทุกประเภท  รวมถึงเก็บเชอรี่  (ฟังดูน่าสนใจจังเนอะ)




บิ๋ม  ในช่วงแรก  บิ๋มจะไปพักกับโฮมสเตย์   ท่าทางน่าอยู่เนอะ
แต่ข้อเสียตรงที่ต้องขึ้นรถลงเรือหลายต่อ  กว่าจะมาถึงโรงเรียน
โฮมสเตย์บิ๋มมีเด็กๆด้วย2คน เราอยากอยู่บ้านที่มีเด็ก  จะได้เล่นแล้วก็คุยกับเด็ก
เพราะเด็กพูดแล้วฟังง่ายดี


เรารู้สึกได้ว่า คนนี้เค้าต้องเป็นซี้เราในภายภาคหน้าแน่ๆเลย หุหุ
ไม่รู้ดิ เซนส์มันบอกอ่ะ



ป้อ ได้บ้านเช่าแชร์เฮาส์ที่อยู่ใกล้มหาลัยมากเลย   ได้ป็นห้องsuit มีห้องเล็กๆสองห้องด้านใน  วิวสวยแต่เค้ายังหาเพื่อนมาอยู่ด้วยเพื่อแชร์ค่าห้องไม่ได้

มาร์ตินกับแฟนยังหาบ้านที่ถูกใจไม่ได้ ส่วนใหญ่เค้าหาทางอิเตอร์เน็ทhttp://www.flatmates.com.au


ส่วนเรา จองหอพักของมหาลัย  ที่พึ่งก่อสร้างเสร็จยังไม่ถึงเดือน  เจ้าหน้าที่คุึยโวไว้ว่า  ยูจะเป็นคนแรกเลยนะที่อยู่ห้องนี้  เนี๊ยะ สียังไม่หายเหม็นเลย
ที่สำคัญมันอยู่ใกล้ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่หญ่ายยยยที่สุดในย่า่นนั้น  เพียงไม่ถึงร้อยเมตร
(ฟังดูดีใช่ไหมหล่ะ   ตื่นเต้วๆๆๆ  อยากไปแล้ว!!!!)

แต่ช้าก่อน................................
เราไม่ได้จะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอกนะ  จองแบบชั่วคราว  อยู่แค่ 2อาทิตย์เท่านั้นหล่ะ เพราะว่าค่าหอนี้มันแพงแสนแพง  อาทิตย์ละ 185$(30บาท = 1$)  วางแผนไว้ว่าระยะเวลาสองอาทิตย์นี้หล่ะ   เราค่อยไปหาบ้านแชร์อยู่กับเพื่อนๆคนไทย  รึกับเพื่อนต่างชาติให้เก๋ไก๋  อาจจะไปอยู่แบบบิ๋มรึแบบป้อ
รึยังไง...ค่อยไปดูของจริงเพื่อประกอบการตัดสินใจดาบหน้า

สาธุ ขอให้หาที่ถูกใจได้โดยไม่ยากเย็นละกัน


ปล.  บล็อกวันนี้  ม่ายมีภาพประกอบเลย  ไว้วันถัดไปจะเล่าถึงตอนบินไปแล้วนะจ๊ะ  อิอิ