และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะบ๊าย บาย เมืองไทย ไปเล่นกับจิงโจ้ซักที
วันนี้เป็นวันที่เราและพ่อแม่น้าอาดีใจและภูมิใจกันยกใหญ่ที่เราทำฝันของเราได้สำเร็จซักที(เค้ารอมาหลายปีแล้ว เห็นเรียนภาษาอยู่ได้)
มันเป็นรางวัลจากการขยันและเก็บหอมรอมริบ ของเราตลอด6ปีการทำงาน
(นานเนอะ นานจนแก่เลยหล่ะนี่)
พ่อแม่ อาๆ ญาติๆ เพื่อนๆมาส่งกันเต็มสนามบิน ห้า ห้า ห้า
ทุกอย่างดูดี เต็มไปด้วยรอยยิ้ม^^ การเดินทางอันยาวนาน ทำให้เราเหน็ดเหนื่อย
พอไปถึงที่สนามบินโฮบาร์ท ก็มีเจ้าหน้าที่ของมหาลัยมารอรับ เยี่ยมจริงๆ
แต่ต้องตกใจเมื่อพบว่ากระเป๋าเดินทางที่โหลดลงเครื่องไม่ยอมเดินทางมากับเรา
เรามาโฮบาร์ทกับกระเป๋าใบเล็ก1ใบ ข้างในมีเสื้อ2—3ตัว
ผ้าขนหนู ไดรเป่าผม แล้วก็หนังสือ แล้วก็เป้ใส่โน๊ตบุ๊คอีก1ใบ
รู้สึกกังวลมากว่าที่บ้านเรา คงคอยรับโทรศัพท์จากเรามาหลายชั่วโมงแล้ว
ที่บ้านคงกังวลตั้งแต่เราเดินเข้าไปตรงประตูตรวจคนออกนอกประเทศที่สุวรรณภูมิ
กลัวว่าแถวมันจะยาว แล้วเราจะไปไม่ทันboarding
กลัวว่าเรานั่งเครื่องบินแล้วจะเมาเครื่องแล้วเดินเองไม่ไหว
กลัวว่าเราจะต่อเครื่องตรงซิดนีย์มาโฮบาร์ทไม่ได้
กลัวว่าเราจะถึงโฮบาร์ทโดยสวัสดิภาพรึเปล่า
เรานะโมโหตัวเองที่ไม่ยอมเอาซิมมาจากเมืองไทย
วันนั้นแค่คิดว่า เดี๋ยวก็มาซื้อซิมเอาที่นี่ได้ ไม่ยากหรอก
แต่การเดินทางมันค่อนข้างนาน เราปล่อยให้ที่บ้านกังวลเรื่องเรานานเกินไป
แล้วเราก็รู้สึกผิดมากมากที่ต้องให้พ่อแม่และญาติๆ คนที่เรารักต้องมาไม่สบายใจ
กับอีแค่ไม่ยอมถือซิมมา!!!
พอมาเจอกระเป๋าหายอีก มันรู้สึกเฮ้ย อะไรกัน
เรานะถามเจ้าหน้าที่ที่สุวรรณภูมิตั้งหลายรอบ ถามเจ้าหน้าที่ที่sydney
ว่ากระเป๋าเรา มากับเราใช่ไหม ถาม ถาม ถาม
แล้วไงอ่ะ เชื่อคุณไม่ได้เลยนะ เป๋าชั้นยังนอนหมุนเล่นอยู่ที่sydneyอยู่เลย
แล้วเราจะได้มันคืนมั๊ยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างเราอยู่ในนั้นนะ
เหนื่อย เพลีย เมาเครื่องนิดหน่อย กังวล สับสน โทรกลับบ้านไม่ได้
เพราะหาที่ซื้อโฟนการ์ดไม่เจอ หาซื้อซิมไม่ได้
ทุกอย่างช่างเศร้า เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
เราอยู่รายล้อมด้วยพ่อแม่ ญาติๆ เพื่อนๆ มีแต่รอยยิ้ม และความสุข
ทุกคนมาส่งเรา ทุกคนหวังดีกับเรา ยินดีกับเราริง
แต่ตอนนี้.................
เราอยู่คนเดียว กับความเสียใจว่าทำไมเราทำตัวแบบนี้
เสียใจ เสียใจ เสียใจ..........
และแล้ว.....ทนไม่ไหวแล้ว โฮ โฮ โฮ โฮ
ก้มหน้าลงร้องไห้ที่ตรงถนน ตอนกำลังเดินไปแลกเหรียญเพื่อจะโทรศัพท์กลับบ้าน
ไม่อายใครด้วย ร้องไห้จนตาบวมฉึ่งเลย
และตอนนั้นเองที่เราได้เจอ Barbara กับ Peter คู่คุณลุง คุณป้าที่ใจดี
เค้าเข้ามากอดเราใหญ่เลย ถามว่าเป็นไร โอเคมั๊ย
เราก็บอกเป๋าหายค๊า โทรหาที่บ้านก็ไม่เป็น
เค้าพาเราไปซื้อการ์ดโฟนโทรกลับเมืองไทย
ใจดีเนอะ กอดเราตั้งหลายที เราก็กอดด้วยแหละ
กอดแล้วคิดถึงแม่เลย ตัวเค้านิ่มแล้วก็อบอุ่นมากเลย ก็เลยกอดซะนานเลย 5555
# ตอนนี้ได้กระเป๋าคืนแล้วแหละ
ได้คืนมาตั้งแต่ตอนวันอังคารหัวค่ำ(ถึงโฮบาร์ทวันอาทิตย์ประมาณเที่ยง)
ทางมหาลัยเค้าดีมากมากเลย เค้าประสานงานไปรับกระเป๋าให้เราที่แอร์พอร์ต
แล้วมาส่งให้ถึงห้องเราเลย (ดีเหมือนกัน ไม่ต้องขนเอง เพราะมันหนัก5555)
คนทาสมาเนียใจดีอีกคนที่เราเจอชื่อTim
วันนั้น เรากับบิ๋มเพื่อนคนไทย ดั้นด้นไปดูบ้านที่เราจะแชร์อยู่ด้วยกัน
ไปแบบมั่วๆ รู้ชื่อถนน แต่ไม่รู้ว่าต้องลงป้ายไหน ก็กะไปถามคนขับรถเอา
ปรากฎว่าคนขับก็ดันไม่รู้จักอีก
แต่คุณTim อัศวินของเรา นั่งอยู่ในรถคันนั้นด้วย เค้าก็เลยเสนอตัวพาไป
พาไปถึงบ้าน ก็รอพวกเราดูบ้านตั้งนานนะ แล้วยังพาไปส่งทางไปป้ายรถเมล์อีก
แล้วเค้าค่อยกลับบ้านเค้าอ่ะ น่ารักเนอะ
-----------------------------------------------------------------------------------
เรารู้จักเพื่อนที่มหาลัยเยอะแล้วเหมือนกัน เพราะว่าอยู่หอพักมหาลัย
เป็นคล้ายๆบ้านที่หลังใหญ่มากๆ มี1ห้องครัว 1ห้องนั่งเล่น 1ห้องดูทีวี
แต่หลายห้องนอน ไม่รู้ว่าเทาไหร่ แต่มากกว่า30ห้องนอน
ทุกห้องมีห้องน้ำส่วนตัว ฮีทเตอร์ส่วนตัว แล้วก็ตู้เย็นส่วนตัว ดีจริงๆ อยู่ที่นี่นะ
ได้เพื่อนรายวันเลย เพราะว่าคุณต้องกินอาหารในครัวไง
บางวันก็ทำอาหารเอง ทำกันไปคุยกันไป รู้จักเยอะมากกกก สนุกดี
ขอไล่เรียงชื่อประเทศก่อนนะ
มี สเปน เยอรมัน ออสเตรเลีย สวีเดน อินเดีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
บางคนก็ไม่ได้ถามว่ามาจากประเทศอะไร
แต่ถ้าจะให้เข้ากันได้ เมาท์กันยาว คงเป็นพวกเอเชียด้วยกันแหละ
ตอนนี้ มีเพื่อนซี้เยอะเลยแหละ
เพื่อนซี้ประจำครัวเรา คือ สองหนุ่มสาวชาวมาเลชื่อKavinกับMichelle
เพื่อนซี้ร่วมเดินทางไปเรียน คือ สาวจีนชื่อXiali
เพื่อนซี้ยามเย็น คือ บิ๋ม คนไทยแหละคนนี้
เพื่อนซี้ชอบแวะไปหา ชื่อRichardกับภรรยาEmilyชาวจีน
เพื่อนซี้ตอนปฐมนิเทศ Milaชาวมาเลอีกแล้วครับท่าน
เพื่อนซี้ดูทีวี ชื่อDavidชาวออสเตรเลีย
ปล.ตอนนี้ไม่เศร้าแล้ว กำลังสนุกกับการ make friendอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น